ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

2.ท่องเที่ยวต่างจังหวัด


อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หรือ "เขาใหญ่" 
เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย มีอาณาเขตครอบคลุม 11 อำเภอ ของ 4 จังหวัด คือ อำเภอมวกเหล็ก อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี อำเภอปากช่อง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา อำเภอนาดี อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอประจันตคาม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี และอำเภอปากพลี อำเภอบ้านนา อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ได้รับสมญานามว่าเป็นอุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นป่าผืนใหญ่ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมดงรัก

ในส่วนหนึ่งของดงพญาไฟหรือดงพญาเย็นในอดีต ประกอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนหลายลูก เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำนครนายก และแม่น้ำมูล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้างป่า กวางป่า เก้ง กระทิง เสือ ตลอดจนมีลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงาม มีเนื้อที่ 1,353,471.53 ไร่ หรือ 2,165.55 ตารางกิโลเมตร
ด้วยสภาพป่าที่รกทึบและได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม ทำให้ที่ "เขาใหญ่" เกิดฝนตกชุกตามฤดูกาล อากาศไม่ร้อนจัดและหนาวจัดจนเกินไป จัดอยู่ในประเภทเย็นสบายตลอดทั้งปี อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 23 องศาเซลเซียส เหมาะแก่การเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นที่ซู้ดดด... (ถูกต้องนะคร้าบ!!) ยิ่งในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ คนจะนิยมไปเที่ยวที่นี่กันมาก

 "แก่งหินเพิง" เป็นแก่งหินขนาดใหญ่กลางแม่น้ำใสใหญ่ในเขต อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี แก่งหินเพิงจะสวยงามมากที่สุดในยามน้ำหลาก ราวเดือนกรกฎาคม - พฤศจิกายน ฤดูฝนจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวแก่งหินเพิง มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเล่นน้ำตามแก่งต่างๆ เป็นจำนวนมาก สำหรับผู้ชื่นชอบความตื่นเต้นเร้าใจ ยังนิยมนำการล่องแก่งแพยาง จากแก่งหินเพิงลงมายังหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.9 อีกด้วย
"น้ำตกสาริกา" 
ตั้งอยู่ที่ตำบลสาริกา อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สายน้ำไหลตกจากหน้าผาเป็นทอดๆ ถึง 9 ชั้น ผาที่สูงที่สุดประมาณ 100 เมตร (อู้ว...) แต่ละชั้นมีอ่างรับน้ำขนาดย่อม ที่เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ และในบริเวณน้ำตกชั้นล่างก็ยังมีแอ่งน้ำให้เล่นน้ำได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีทางเดินต่อไปตามธารน้ำที่ไหลตกลงมาเป็นชั้นๆ จนไปถึงแอ่งน้ำกว้างและโขดหินก้อนใหญ่ มองขึ้นไปจะเห็นน้ำตกสาริกาชั้นสูงที่สุด ทั้งนี้ น้ำตกสาริกาจะมีน้ำไหลเกือบทั้งตลอดปี โดยในฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำมาก 
"น้ำตกเหวนรก" 
เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสูงที่สุด อยู่ทางทิศใต้ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรกสูงประมาณ 60 เมตร เมื่อน้ำไหลผ่านหน้าผาชั้นนี้จะพุ่งไหลลงสู่หน้าผาชั้นที่ 2 และ 3 ที่อยู่ถัดลงไปใกล้ๆ กันในลักษณะการไหลตก 90 องศา รวมความสูงไม่ต่ำกว่า 150 เมตร เป็นสายน้ำที่ไหลทะลักไปสู่หุบเหวเบื้องล่าง ในฤดูฝนน้ำจะไหลแรงมาก

 "น้ำตกผากล้วยไม้" 
เป็นน้ำตกขนาดกลางที่อยู่ในห้วยลำตะคองเช่นเดียวกัน มีลักษณะเป็นหน้าผาลดหลั่นกันลงมา สูงประมาณ 10 เมตร อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ประมาณ 7 กิโลเมตร สามารถเข้าถึงได้โดยทางรถยนต์และทางเดินเท้า ทางเดินเริ่มจากจุดกางเต็นท์ผากล้วยไม้ไปประมาณ 1.2 กิโลเมตร โดยเดินเลียบไปตามห้วยลำตะคองที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่ร่มครึ้ม (เดินสบายแดดไม่ร้อน) แถมยังมีโอกาสพบนกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น นกกางเขนน้ำหลังเทา นกกะรางคอดำ นกปรอดโอ่งเมืองเหนือ

 "จุดชมทิวทัศน์เขาเขียว" 
(ผาเดียวดาย) นับเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามน่าชม มีลักษณะคล้ายผานกเค้าที่ภูกระดึง นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นภูเขาร่มขวางอยู่เป็นแนวยาว และทิวทัศน์ที่สวยงามด้านจังหวัดปราจีนบุรี ตอนเช้าตรู่ก็จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า เป็นดวงกลมสีแดงเหนือสันเขาร่มที่สวยงาม 

 อีกทั้งทางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ยังได้สร้างหอดูสัตว์ขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้ดูสัตว์ ที่ลงมากินดินโป่งทั้งหมด 3 แห่ง คือ หอดูสัตว์หนองผักชี, หอดูสัตว์มอสิงโต และหอดูสัตว์คลองปลากั้ง โดยหอดูสัตว์ทั้งหมดนี้จะสร้างใกล้ ๆ โป่ง เนื่องจากสัตว์จะลงมากินดินโป่ง ซึ่งโดยมากที่เห็นจะเป็นกวาง ช้างป่ามีบ้างแต่น้อยกว่า และหากโชคดีอาจมีโอกาสได้เห็นกระทิงลงมากินดินโป่งซึ่งหาชมได้ยากมาก โดยโอกาสเห็นกระทิงนั้นจะพบที่หอดูสัตว์คลองปลากั้งมากที่สุด           อย่างไรก็ตาม อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ถือเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าชุกชุมมาก บางทีขณะกำลังขับรถยนต์ไปตามถนน จะสามารถเห็นสัตว์ป่าเดินผ่านหรือออกหากินตามทุ่งหญ้า หรืออาจเห็นโขลงช้างออกหากินริมถนน ลูกช้างตัวเล็ก ๆ น่ารัก เดินยึกยัก ๆ ก็ดูเพลินตาไม่เบา สัตว์ป่าที่สามารถพบได้บ่อย ๆ และตามโอกาสอำนวย ได้แก่ เก้ง กวาง ตามทุ่งหญ้าทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ ยังพบ เสือโคร่ง กระทิง เลียงผา หมี เม่น ชะนี พญากระรอก หมาไม้ ชะมด อีเห็น กระต่ายป่า นกชนิดต่าง ๆ จำนวน 250 ชนิด จากจำนวนไม่น้อยกว่า 340 ชนิด ส่วนนกที่น่าสนใจและพบเห็นได้บ่อย ได้แก่ นกเงือก นกขุนทอง นกขุนแผน นกพญาไฟ นกแต้วแล้ว นกโพระดก นกแซงแซว นกเขา นกกระปูด ไก่ฟ้า และนกกินแมลงชนิดต่าง ๆ แถมยังมีแมลงแปลก ๆ อีกเพียบกว่า 5,000 ชนิด
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างคืน ที่นี่เขาก็มีสถานที่ให้กางเต็นท์ 2 จุดคือ ผากล้วยไม้และลำตะคอง และยังมีเครื่องนอนและอุปกรณ์พักแรมให้เช่าด้วย ส่วนค่ายพักแรมมี 3 จุด คือ ค่ายกองแก้ว ค่ายเยาวชนและค่ายสุรัสวดี เหมาะสำหรับกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาทำกิจกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ ขณะที่บ้านพักมี 2 จุดคือ บริเวณที่ทำการอุทยานฯและบริเวณบ้านธนะรัชต์
          สอบถามรายละเอียดและจองบ้านพักได้ที่ 
งานบ้านพักอุทยานแห่งชาติ โทร. 02-562-0760-2 หรือ  www.dnp.go.th ด่านตรวจศาลเจ้าพ่อ (จองบ้านพัก) โทร. 0-4429-7406, 0-4429-7426 และติดต่อที่พักกางเต็นท์บริเวณผากล้วยไม้ 
โทร. 0-1282-8594 จุดพักลำตะคอง โทร. 0-9285-9470 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร. 0-2562-0760 หรือที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ปณ.9 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

  ... สูดอากาศบริสุทธิ์ ท่ามกลางธรรมชาติอันแสนสุข เที่ยวเมืองไทย เที่ยวเขาใหญ่ 
ในวันที่อากาศเย็น ๆ... 














1.ท่องเที่ยวบ้านเกิด

บึงพลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ด

ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองร้อยเอ็ด ถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด มีลักษณะเป็นเกาะอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกขนาดใหญ่ มีพันธุ์ไม้ต่างๆ ร่มรื่น และในบึงน้ำมีปลาชนิดต่างๆ หลายพันธุ์มากมาย มีเรือสำหรับให้ประชาชนได้พายเล่นในบึง  นอกจากนั้นยังใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลของจังหวัด รวมทั้งจัดมหรสพต่างๆ ภายในบึงพลาญชัยยังมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจคือ 


ประตูเมืองสาเกตนคร

การเดินทางมายังบึงพลาญชัยนั้นมาได้หลายทางมากขึ้นอยู่กับว่านักท่องเที่ยวนั้นเดินทางมาจากทางไหน ได้แก่กาฬสินธุ์ ใช้เส้นทางหมายเลข 214 หากมาจากมหาสารคามใช้เส้นทางหมายเลข 23 หากเดินทางมาจากยโสธร ก็ใช้เส้นทางหมายเลข 23 หากเดินทางมาจากสุรินทร์ก็ใช้เส้นทางหมายเลข 215 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการจัดทริปของแต่ละคน เมื่อมาถึงบึงพลาญชัยจะพบว่ารอบๆ บึงนั้นมีถนนรอบ สามารถขับรถชมบึงก่อนที่จะมาที่ลานจอดรถหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองร้อยเอ็ดได้ รอบๆ บึงหาที่จอดรถยาก แต่มีสะพานข้ามบึงมายังเกาะกลางบีงเป็นระยะๆ ซึ่งต้องระวังคนข้ามถนนด้วยนะครับ เมื่อขับรถชมรอบบึงแล้วก็มาจอดยังลานจอดจะเห็นประตูเมือง


ลักษณะของบึงเป็นบึงขนาดใหญ่มาก มีเกาะกลางบึง การถ่ายภาพบึงจะทำได้เป็นส่วนๆ นะครับ ไม่ใช่ว่าภาพนี้คือทั้งหมดของบึง แต่เป็นเพราะบึงมีรูปร่างโค้ง ไม่เหมือนบึงอื่นๆ ที่จะกว้างและถ่ายออกมาได้ภาพที่เต็มเฟรม มีน้ำพุเป็นจุดๆครับ ที่เห็นมีหลังคาอยู่ด้านซ้ายของภาพคือศาลหลักเมืองร้อยเอ็ด

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 

 อยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าสวนสาธารณะบึงพลาญชัย สร้างไว้เพื่อจารึกว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ วางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย จัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลและลักษณะการปกครองท้องที่ ก่อกำเนิดลูกเสือ อนุกาชาด และสภากาชาดไทย ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา และขยายการศึกษาจนถึงชั้นอุดมศึกษาเป็นครั้งแรก ประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุล คำนำหน้าสตรีและเด็ก ตั้งธนาคารออมสิน และริเริ่มกิจการสหกรณ์ วางรากฐานทางคมนาคมทางอากาศ เปลี่ยนแปลงการใช้ศักราชจาก ร.ศ. เป็น พ.ศ. เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติ แก้ไขสนธิสัญญาต่างๆ ที่เสียเปรียบต่างชาติ ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไว้เป็นจำนวนมาก ให้ยกเลิกเงินอัฐ เงินไพ และให้ใช้เงินสตางค์แทน ฯลฯ ให้แยกเมืองร้อยเอ็ดเมืองกาฬสินธุ์ เมืองมหาสารคามออกจากมณฑลอีสานมารวมกันตั้งเป็นมณฑลร้อยเอ็ด ตั้งกอลพลทหารราบที่ 10 กองบินน้อย และสโมสรเสือน้ำขึ้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด

ประตูทางเข้าสวนสาธารณะ

อยู่ด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์เมื่อเดินเข้าไปจะเห็นสวนพานรัฐธรรมนูญ จากนั้นเดินขึ้นไปบนเนินสักพักจะมีศาลเจ้าพ่อหลักเมืองร้อยเอ็ด

พานรัฐธรรมนูญ 
ที่ฐานเป็นหกเหลี่ยมแต่ละด้านมีอักษรติดอยู่เป็นข้อความว่า เอกราช ปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ การศึกษา

ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองร้อยเอ็ด 

 เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองร้อยเอ็ด มีประชาชนเดินทางมาสักการะบูชาตลอดวัน

โหวด 

สัญลักษณ์ดนตรีพื้นเมืองร้อยเอ็ด สร้างเป็นเสาขนาดใหญ่ไว้ 2 ต้น ตรงทางเดินเข้าสวนสาธารณะบึงพลาญชัย ในสวนนี้ก็จะมีสนามกีฬาพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนี พระพุทโธดม สนามเด็กเล่น ภูพลาญชัย ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่ทุกเพศทุกวัย

สัญลักษณ์แห่งสถานที่เสด็จฯ 

สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานที่เสด็จพระราชดำเนินทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข แก่ราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ เป็นศาลาจตุรมุขอยู่กลางสวนสาธารณะขนาดใหญ่

หอนาฬิกา